ในแต่ละวินาทีที่เรากำลังนั่งสไลด์หน้าจอโทรศัพท์มือถือ มีเนื้อหาและข้อมูลออนไลน์ที่ถูกเผยแพร่ไปนับจำนวนไม่ถ้วน ซึ่งล้วนปะปนไปด้วยข้อมูลทั้งจริงและเท็จ หากหลงเชื่อในทันที โดยขาดการตรวจสอบให้แน่ใจ ก็อาจจะทำให้เกิดผลกระทบทั้งต่อตนเอง รวมไปถึงสังคมรอบข้างได้
โดยหลาย ๆ คนอาจจะไม่เข้าใจว่าเรื่องเหล่านี้มีความสำคัญอย่างไร เราจะใช้แว่นขยายส่องให้ดูว่า การจับโกหกข้อมูลออนไลน์นั้นมีความจำเป็นและก่อให้เกิดประโยชน์อย่างไรกับทุกคน

ป้องกันการหลงเชื่อและตัดสินใจผิดพลาด
เช่น การซื้อสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ การลงทะเบียนในโครงการหลอกลวง หรือการแพร่กระจายข่าวปลอมที่อาจสร้างความเสียหาย
ตัวอย่าง หลงเชื่อข่าวลือเกี่ยวกับการรักษาโรคที่ไม่ได้รับการรับรองทางการแพทย์ อาจทำให้คนละเลยการรักษาที่ถูกต้อง และเสี่ยงให้เกิดอันตราย
ลดการแพร่กระจายข้อมูลเท็จ
ข้อมูลออนไลน์ที่หลอกลวงมักจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็วผ่านโซเชียลมีเดีย การตรวจสอบก่อนแชร์ช่วยลดโอกาสที่คนอื่นจะหลงเชื่อต่อ
ตัวอย่าง ข่าวปลอมเกี่ยวกับภัยพิบัติ อาจทำให้เกิดความตื่นตระหนกจนสร้างความวุ่นวาย
ลดผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและสังคม
ข้อมูลปลอมอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจ เช่น การหลงเชื่อข่าวลือเรื่องการเงิน หรือการลงทุนในโครงการหลอกลวง
ตัวอย่าง ข่าวลือเกี่ยวกับราคาน้ำมันหรือการล้มละลายของบริษัทอาจทำให้เกิดการตื่นตัวทางการตลาดที่สร้างความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจ
ช่วยปกป้องตนเองและครอบครัวจากการถูกหลอกลวง
การรู้จักตรวจสอบข้อมูลช่วยป้องกันไม่ให้ตัวเราและคนใกล้ตัวตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง
ตัวอย่าง ไม่หลงเชื่อกดลิงค์ปลอมจากช่องทางต่าง ๆ ที่หวังขโมยข้อมูลส่วนตัว
สร้างวัฒนธรรมการใช้ข้อมูลอย่างมีความรับผิดชอบ
การตรวจสอบข้อมูลช่วยส่งเสริมให้คนในสังคมใช้อินเทอร์เน็ตอย่างรับผิดชอบและไม่แพร่ข้อมูลโดยขาดการพิจารณา
ตัวอย่าง การแชร์ข้อมูลสุขภาพหรือคำแนะนำต่าง ๆ ที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว
เมื่อเข้าใจถึงความสำคัญที่ต้องช่วยกันจับโกหกข้อมูลออนไลน์กันแล้ว มาอัพเดทกันเพิ่มเติมว่ามีเทคนิคอย่างไรในการจับพิรุจว่าเนื้อหาไหนจริงและเท็จ ด้วยทริคง่าย ๆ ที่ทุกคนจะสามารถพิจารณาได้โดยใช้เวลาไม่นาน

ทำความเข้าใจรูปแบบข้อมูลหลอกลวง
ข้อมูลปลอมมักพยายามดึงดูดความสนใจ เช่น หัวข้อที่ดูเกินจริงอย่าง “คุณจะไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไป!” หรือ “ข่าวด่วน! รีบแชร์ก่อนถูกลบ!” รวมทั้งข้อมูลที่ไม่มีชื่อแหล่งข่าว หรือไม่มีชื่อคนเขียนที่ตรวจสอบได้
วิธีสังเกต ถ้าดูแล้ว “เกินจริง” หรือเน้นสร้างความตื่นตระหนกเกินไป ให้ตั้งข้อสงสัยทันที
ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล
รู้ว่าใครเป็นคนพูดหรือเผยแพร่ข้อมูลนั้น ดูที่อยู่เว็บ (URL) เช่น เว็บไซต์ที่ลงท้ายด้วย .gov, .edu มักเป็นของหน่วยงานรัฐบาลหรือสถาบันการศึกษา ถ้าเว็บไซต์ดูไม่คุ้นเคย ให้ลองค้นหาชื่อเว็บไซต์บน Google ว่าเคยมีประวัติเผยแพร่ข่าวปลอมไหม
เคล็ดลับ หลีกเลี่ยงการเชื่อถือเว็บไซต์ที่ URL มีคำแปลก ๆ หรือแอบคล้ายเว็บที่คุณรู้จัก เช่น “g00gle.com” (ไม่ใช่ Google จริง ๆ)
ใช้เครื่องมือและเว็บไซต์ที่ช่วยตรวจสอบความจริง
มีตัวช่วยออนไลน์ที่คุณสามารถใช้ได้ อย่างเว็บไซต์ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม Anti-Fake News Center โครงการ COFACT (Collaborative Fact-Checking) จะช่วยค้นว่าข้อมูลที่คุณสงสัยเป็นข่าวจริงหรือปลอม รวมถึงใช้ Google Reverse Image Search เพื่อตรวจสอบว่าภาพในข่าวถูกแก้ไขหรือใช้ซ้ำจากข่าวอื่นหรือเปล่า
วิธีทำ ดาวน์โหลดภาพจากข่าว แล้วนำไปค้นหาใน Google Image หรือเปิดเว็บไซต์ตรวจสอบข้อมูล
ตั้งคำถามเชิงลึกกับเนื้อหา
ถามตัวเองก่อนเชื่อว่า
- “ใครเขียนข้อมูลนี้?” ชื่อคนเขียนหรือองค์กรมีความน่าเชื่อถือไหม
- “เขียนเพื่ออะไร?” ต้องการแจ้งข่าวจริง หรือแค่ต้องการยอดวิวและแชร์
- “มีหลักฐานอะไร?” ถ้ามีแค่คำพูดลอย ๆ ไม่มีลิงก์ไปยังแหล่งข้อมูลจริง ให้สงสัยไว้ก่อน
หลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลโดยไม่ตรวจสอบ
คิดก่อนแชร์ แม้เนื้อหาดูน่าเชื่อถือ แต่ถ้ายังไม่มั่นใจว่าจริง ให้ตรวจสอบให้ชัวร์ก่อน การแชร์ข่าวปลอมอาจทำให้เพื่อนหรือคนรู้จักเข้าใจผิด และเป็นการช่วยกระจายข่าวปลอมโดยไม่ตั้งใจ
คำแนะนำ ถ้าสงสัย ให้ตรวจสอบจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ หรือต้นทางของข่าวสารนั้น ๆ
มาร่วมกันเป็นพลเมืองดิจิทัลที่มีคุณภาพ ด้วยการเป็นหูเป็นตา ช่วยกันจับโกหกข้อมูลออนไลน์ ตรวจสอบกลั่นกรองให้แน่ใจก่อนที่จะเชื่อหรือแชร์ต่อ เพราะทุกสิ่งที่เผยแพร่ไป ล้วนมีผลกระทบทั้งในปัจจุบันและอนาคต ไม่ว่าจะต่อตัวเรา หรือสังคมรอบตัว วิธีการง่าย ๆ ที่เรานำมาบอกเล่า ทุกคนสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ช่วยกันตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นและบอกต่อแก่คนอื่นให้ทำตามได้