ความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในสนามรบจริง แต่ยังขยายไปยังโลกออนไลน์ผ่านข่าวลือและข้อมูลบิดเบือน หลายครั้งข่าวที่เราเห็นอาจถูกสร้างขึ้นเพื่อปลุกปั่นอารมณ์หรือทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยที่ประชาชนทั่วไปอาจไม่รู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเหยื่อของเกมข่าวสารนี้

ข้อมูลบิดเบือนไม่เพียงแต่สร้างความเข้าใจผิด แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้เพื่อขยายความแตกแยกและสร้างความหวาดระแวงในสังคม คนในพื้นที่อาจถูกชักนำให้เชื่อในเรื่องราวที่ผิดไปจากความเป็นจริง หากต้องการให้ชายแดนใต้เป็นพื้นที่แห่งความสงบ เราต้องเริ่มต้นจากการรู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อของข้อมูลบิดเบือน
กองบรรณาธิการ South Check ชวนทุกท่านมาทำความเข้าใจข้อมูลบิดเบือน มุมมอง ผลกระทบ และแนวทางการรับมือกับข้อมูลบิดเบือนในสถานการณ์ความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่เพียงมีการต่อสู้กันด้วยความรุนแรงจากการใช้อาวุธเท่านั้น แต่ในโลกของการสื่อสารก็เป็นพื้นที่แห่งการต่อสู้และปะทะสังสรรค์กันทางอุดมการณ์ด้วย โดยเนื้อหานี้เรียบเรียงขึ้นจากบทความทางวิชาการ เรื่อง “Disinformation as Digital Weapon and Public Discourse in the Armed Conflict of Southernmost” ที่เผยแพร่ในการประชุมหาดใหญ่วิชาการระดับชาติ และนานาชาติ ครั้งที่ 13 (The 13th Hatyai National and International Conference) เมื่อปี 2565
ความหมายของข้อมูลบิดเบือน
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกับ “ข้อมูลบิดเบือน” (Disinformation) กันก่อนว่า คืออะไร จากเว็บไซต์ https://www.merriam-webster.com/dictionary/disinformation ให้ความหมาย ดังนี้ “ข้อมูลเท็จที่แพร่กระจายโดยจงใจและมักจะมีเจตนาแอบแฝง (เช่น การแพร่กระจายข่าวลือ) เพื่อโน้มน้าวความคิดเห็นสาธารณะหรือบดบังความจริง”
จากหนังสือ เรื่อง Information disorder: Toward an interdisciplinary framework for research and policy making (2017) ได้ให้ความหมายว่า “ข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จหรือสร้างขึ้นโดยเจตนาที่จะทำร้ายบุคคล กลุ่ม สังคม องค์กร หรือประเทศ อาจอยู่ในรูปเสียง ภาพ เนื้อหา ที่สร้างขึ้นอย่างมีเจตนา หรือสมคบคิดกัน หรือสร้างข่าวลือด้วยเจตนา มีการนำไปใช้เป็๋นกลยุทธ์ที่จะก่อให้เกิดอันตรายแก่เป้าหมาย”
เว็บไซต์ของ UN (https://www.un.org/en/countering-disinformation) ให้ความหมายเช่นกันว่าเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและมีเจตนาที่จะหลอกลวงหรือบิดเบือนความจริง เพื่อสร้างความเสียหายหรือผลกระทบในด้านใดด้านหนึ่ง แตกต่างจากข้อมูลที่ผิดพลาด (Misinformation) ซึ่งเป็นการแพร่กระจายข้อมูลที่ไม่ถูกต้องโดยไม่ได้ตั้งใจ ข้อมูลที่ถูกบิดเบือนจากความเป็นจริง สามารถแพร่กระจายได้โดยรัฐหรือผู้ที่ไม่ใช่รัฐ ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น สื่อสังคมออนไลน์ สื่อกระแสหลัก หรือการเผยแพร่โดยตรง มีลักษณะของการพยายามสร้างความน่าเชื่อถือให้กับข้อมูล โดยการแอบอ้างแหล่งที่มา หรือใช้ข้อมูลจริงบางส่วนมาประกอบ
เป้าหมายของข้อมูลบิดเบือน คือ การสร้างความเข้าใจผิด ความสับสน และความแตกแยกในสังคม สามารถส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนในวงกว้าง ทำลายการตอบสนองต่อนโยบายสาธารณะ หรือทำให้ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นในช่วงภาวะฉุกเฉินหรือความขัดแย้งทางอาวุธ นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายทางการเมือง เช่น การทำลายความน่าเชื่อถือของคู่แข่ง หรือสร้างความปั่นป่วนในสังคม และเป้าหมายทางธุรกิจ เช่น การสร้างข่าวปลอมเพื่อโปรโมทสินค้า หรือทำลายชื่อเสียงของคู่แข่งทางการค้า
จากความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า ข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) หมายถึง ข้อมูลเท็จที่ถูกสร้างขึ้นและเผยแพร่อย่างจงใจ โดยมีเจตนาแอบแฝงเพื่อหลอกลวง บิดเบือนความจริง และสร้างความเสียหายต่อบุคคล กลุ่ม สังคม องค์กร หรือประเทศ ข้อมูลเหล่านี้อาจอยู่ในรูปแบบของเสียง ภาพ เนื้อหา หรือข่าวลือที่ถูกสร้างขึ้นอย่างมีเจตนาหรือสมคบคิดกัน โดยมีการนำไปใช้เป็นกลยุทธ์เพื่อก่อให้เกิดอันตรายต่อเป้าหมาย ข้อมูลบิดเบือนสามารถแพร่กระจายได้โดยรัฐหรือผู้ที่ไม่ใช่รัฐผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ สื่อมวลชน พรรคการเมือง อินฟลูเอนเซอร์ เป็นต้น รวมถึงกลุ่มเฉพาะกิจสนใจเรื่องเดียวกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจผิด ความสับสน และความแตกแยกในสังคม รวมถึงมีเป้าหมายทางการเมืองและธุรกิจด้วย

ประเภทของข้อมูลบิดเบือน
หนังสือ เรื่อง Information disorder: Toward an interdisciplinary framework for research and policy making ได้จำแนกประเภทของข้อมูลบิดเบือนออกเป็น 7 ประเภทหลัก ได้แก่
- เสียดสีและล้อเลียน (Satire and Parody)
การสร้างเนื้อหาในรูปของข้อความ ภาพ งานศิลปะที่มีวัตถุประสงค์เสียดสี ล้อเลียน เพื่อใช้สำหรับการลดทอนความเป็นมนุษย์ ความน่าเชื่อถือ สร้างความเกลียดชัง - ข้อมูลที่เชื่อมโยงผิดพลาด (False Connection)
องค์ประกอบต่าง ๆ ที่ปรากฎในเนื้อหา เช่น พาดหัวข่าว ภาพ คำบรรยาย เหตุการณ์ บุคคล ไม่เกี่ยวข้องกันหรือเป็นเหตุการณ์เดียวกัน - ข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิด (Misleading Content)
เป็นการเลือกเนื้อหาบางส่วนมานำเสนอเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด อาจจะเลือกบางคำพูด บางประโยค การตัดภาพถ่าย หรือวิดีโอบางส่วน เลือกบางสถิติ บางประเด็นมานำเสนอให้เข้าใจผิด - ข้อมูลที่ผิดบริบท (False context)
เหตุการณ์หรือเรื่องราวนั้นเคยเกิดขึ้นในบริบทหรือช่วงเวลาหนึ่ง แต่นำมาเผยแพร่ซ้ำในอีกบริบทหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกัน - ข้อมูลที่แอบอ้างแหล่งที่มา (Imposter Content)
เป็นการอ้างว่าข้อมูลนี้มาจากนักข่าว หรือสำนักข่าวมืออาชีพ โดยอาจใช้โลโก้ของสำนักข่าวมาประกอบในเนื้อหาเพื่อให้เข้าใจผิด - ข้อมูลที่ถูกดัดแปลง (Manipulated Content)
เป็นข้อมูลที่มีการแก้ไขภาพหรือเนื้อหาเพื่อหลอกลวงหรือทำให้เข้าใจผิด - ข้อมูลที่แต่งขึ้นใหม่ทั้งหมด (Fabricated Content)
เป็นการสร้างข้อมูลปลอมขึ้นมาโดยเจตนาให้เกิดความเสียหาย อาจเรียกว่า ปั้นเรื่อง กุเรื่อง เป็นต้น
ข้อมูลบิดเบือนในความขัดแย้งชายแดนใต้
จากบทความทางวิชาการ เรื่อง “การใช้ข้อมูลบิดเบือนเป็นอาวุธดิจิทัลและวาทกรรมสาธารณะในความขัดแย้งชายแดนใต้ของไทย” ได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาการนำเสนอข้อมูลบิดเบือนของเพจของฝ่าย คือ เพจที่สนับสนุนการปฎิบัติการทางทหาร และเพจที่ต่อต้านการปฏิบัติการทางทหารและรัฐไทย จากเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 จากกรณีที่มีการปิดล้อมตรวจค้นและต่อสู้กันของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงกับผู้ต้องสงสัยที่หลบอยู่ภายในบ้านไม่มีเลขที่ หมู่ 4 ต.กาตอง อ.ยะหา จ.ยะลา ระหว่างการเกิดเหตุการณ์ปะทะกันนานหลายชั่วโมงและหลังเหตุการณ์ดังกล่าวสงบลง พบว่า เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่จริง ถูกนำมาใช้เป็นเชื้อไฟด้วยการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนบนสื่อสังคม โดยเพจที่มีจุดยืนทางการเมืองตรงข้ามกันสร้างเนื้อหาโจมตีกันและสร้างวาทกรรมเกลียดชังเกิดขึ้น

รูปแบบหลักของข้อมูลบิดเบือนที่พบในกรณีเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
จากการศึกษาพบว่ารูปแบบหลักของข้อมูลบิดเบือนที่มีการนำมาใช้ในการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่
1. การเสียดสีและล้อเลียน (Satire and parody)
- แม้ว่าการเสียดสีและล้อเลียนจะถูกสร้างขึ้นเพื่อความบันเทิงโดยไม่มีเจตนาทำร้ายใคร แต่เมื่อถูกเผยแพร่ในวงกว้างบนโลกออนไลน์ อาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับผู้รับสาร
- ในบริบทความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย เนื้อหาการเสียดสีถูกนำมาใช้เพื่อบ่อนทำลายและลดความน่าเชื่อถือของบุคคล กลุ่ม หรือสถาบันต่าง ๆ
ผลกระทบของการเสียดสีและล้อเลียนต่อสังคม
- อาจนำไปสู่การแบ่งขั้วทางการเมืองที่รุนแรงขึ้น และทำให้การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งซับซ้อนมากขึ้น
- สื่อออนไลน์กลายเป็นเครื่องมือในการสร้างความเกลียดชัง มากกว่าการให้ข้อมูลอย่างเป็นกลาง
2. เนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่มีมูลความจริง (Fabricated Content)
- เป็นข้อมูลปลอมที่ถูกเผยแพร่บนเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ผู้รับสารเชื่อว่าข้อมูลนั้นเป็นเรื่องจริง และสร้างความหวาดกลัว
- แต่ละฝ่ายใช้ Facebook เพจของตนเองเผยแพร่เนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อโจมตีและทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้าม
- ทั้งเนื้อหาที่เสียดสีและเนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้น ต่างถูกนำมาเผยแพร่ควบคู่กับวาทกรรมแห่งความเกลียดชัง (Hate Speech)
- วาทกรรมดังกล่าวมักเชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ และความเชื่อทางศาสนา

นอกจากนี้ยังพบว่า ข้อมูลบิดเบือนดังกล่าวยังเป็นวาทกรรมสาธารณะที่ทั้งสองฝ่าย ซึ่งมีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกันใช้ในการต่อสู้ระหว่างกันด้วย สื่อสังคมออนไลน์จึงไม่ใช่เพียงพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเสรีเท่านั้น แต่ยังเป็นสนามรบทางข้อมูล ที่แต่ละฝ่ายใช้เพื่อสร้างอิทธิพลเหนือสาธารณชน

ในฐานะคนกลางที่ต้องการสันติภาพควรทำอย่างไรในสถานการณ์นี้
สำหรับคนกลางในพื้นที่ความขัดแย้งจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่และต้องการสันติภาพท่ามกลางการสื่อสารที่เต็มไปด้วยข้อมูลบิดเบือนจากฝ่ายต่าง ๆ นั้น ควรมีบทบาทสำคัญ ดังต่อไปนี้
- ตระหนักและเข้าใจสถานการณ์ความขัดแย้ง ยอมรับว่าข้อมูลบิดเบือนเป็นปัญหาจริงและถูกใช้เป็นอาวุธดิจิทัลในความขัดแย้ง ทั้งจากฝ่ายที่สนับสนุนและต่อต้านรัฐ เพื่อที่ทุกท่านจะได้ตระหนักในการเสพข้อมูลข่าวสารจากเพจต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการต่อสู้ดังกล่าว
- พัฒนาทักษะการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ซึ่งท่านจะต้องรู้จักตั้งคำถามก่อนจะเชื่อหรือแชร์ข้อมูลใด ๆ ว่ามีที่มา ความน่าเชื่อถือ เจตนาแอบแฝง และความสมเหตุสมผลมากน้อยเพียงใด ตรวจสอบแหล่งที่มาว่าข้อมูลมาจากใคร แหล่งข่าวน่าเชื่อถือหรือไม่ มีการแอบอ้างชื่อบุคคลหรือองค์กรหรือไม่ เป็นต้น แยกแยะข้อเท็จจริงกับความคิดเห็นได้ โดยการฝึกแยกแยะว่าส่วนไหนคือข้อมูลดิบ ส่วนไหนคือการตีความ หรือความเห็นส่วนตัว และตรวจสอบความสอดคล้องกับแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ด้วยการลองหาข้อมูลจากแหล่งอื่นเพิ่มเติมว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่ หรือมีมุมมองอื่นที่แตกต่างออกไป
- ไม่ส่งต่อข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ เมื่อรับข้อมูลข่าวสารมา ต้องหยุดคิด และหากไม่แน่ใจในความถูกต้อง หรือพบสัญญาณของข้อมูลบิดเบือน ห้ามแชร์ต่อเด็ดขาด เพราะการแชร์คือการช่วยขยายผลข้อมูลนั้น ๆ
- ระวังเนื้อหาเร้าอารมณ์ ข้อมูลบิดเบือนมักถูกสร้างขึ้นเพื่อปลุกปั่นอารมณ์ (โกรธ, กลัว, เกลียดชัง) ท่านจึงต้องตระหนักว่าอารมณ์เหล่านี้อาจทำให้ขาดการไตร่ตรอง ยิ่งรู้สึกร่วมมากเท่าไหร่ การคิดหาเหตุผลที่แท้จริงก็น้อยลงเท่านั้น หากพบเนื้อหาลักษณะนี้ให้หยุดการเสพไว้ก่อน หรือหากสนใจค้นหาข้อเท็จจริงก็อาจจะตั้งสติก่อนแล้วตรวจสอบกับข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง
- ส่งเสริมข้อมูลที่ถูกต้องและสร้างสรรค์ เป็นการแบ่งปันข้อมูลที่ตรวจสอบแล้ว เน้นการแชร์ข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ข้อมูลที่เป็นกลาง และส่งเสริมความเข้าใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะการส่งเสริมเรื่องราวที่เน้นสันติภาพ การอยู่ร่วมกัน ความร่วมมือ หรือความพยายามในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เพื่อสร้างสมดุลกับข้อมูลเชิงลบและบิดเบือน
- หลีกเลี่ยงการเป็นส่วนหนึ่งของวาทกรรมเกลียดชัง สามารถทำได้ด้วยการไม่ใช้ภาษาที่สร้างความแตกแยก โดยต้องระมัดระวังการใช้คำพูดหรือภาษาที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ สร้างภาพเหมารวม หรือเชื่อมโยงกลุ่มคนเข้ากับความรุนแรง โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับชาติพันธุ์หรือศาสนา ไม่ตอบโต้ด้วยอารมณ์ หากพบเจอข้อมูลบิดเบือนหรือวาทกรรมเกลียดชัง พยายามหลีกเลี่ยงการโต้เถียงด้วยอารมณ์ ซึ่งมักไม่นำไปสู่ทางออก และอาจยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง
- สร้างพื้นที่สนทนาที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยการส่งเสริมบรรยากาศของการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล เคารพความแตกต่าง และมุ่งเน้นการหาทางออกร่วมกัน มากกว่าการโจมตีหรือกล่าวโทษกันไปมา (อาจเป็นได้ทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์)
ดังนั้น คนกลางที่ต้องการสันติภาพต้องเริ่มต้นจากการ “รู้ทัน” กลไกของข้อมูลบิดเบือน มีสติในการรับและส่งต่อข้อมูล ไม่ตกเป็นเครื่องมือในการขยายความขัดแย้ง และพยายามส่งเสริมข้อมูลและบรรยากาศที่เอื้อต่อความเข้าใจและสันติภาพในพื้นที่อย่างแข็งขัน ซึ่งจะช่วยสร้างสังคมที่มีความเข้าใจและร่วมมือกันในการหาทางออกสู่สันติสุขในพื้นที่ซึ่งกำลังเผชิญกับความขัดแย้งนี้
รายการอ้างอิง
Kai-nunna, P. (2022). Disinformation as Digital Weapon and Public Discourse in the Armed
Conflict of Southernmost. Proceedings of the 13th Hatyai National and International Conference. (pp.209 – 226). https://www.hu.ac.th/Conference/conference2022/proceedings/doc/Proceeding%20HU%20Conference13.pdf



