โฆษณาหลอกลวง “ค้ามนุษย์” เกลื่อนเฟซบุ๊ก ถึงเวลาไทยต้องมีกฎหมาย บังคับ Meta ร่วมรับผิดชอบ

สถานีโทรทัศน์ PPTV ได้รายงานข่าวกรณีชายชาวอุดรธานีรายหนึ่งที่ตกเป็นเหยื่อขบวนการหลอกลวงไปทำงานต่างประเทศ โดยจุดเริ่มต้นมาจากที่เขาหลงเชื่อโพสต์รับสมัครงานบนเฟซบุ๊ก ซึ่งโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นการรับสมัครพนักงานโรงงานแปรรูปอาหารในประเทศญี่ปุ่น

หลังจากที่ชายคนดังกล่าวตกลงเดินทางตามคำชักชวน ปลายทางกลับไม่ได้เป็นประเทศญี่ปุ่นตามที่ตกลงกันไว้ เขาถูกส่งตัวไปยังประเทศกัมพูชา และถูกบังคับให้ทำงานในฐานะสแกมเมอร์ มีหน้าที่โทรศัพท์เพื่อหลอกลวงคนไทยด้วยกันเอง

กรณีดังกล่าวมิใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่ยังมีอีกหลายกรณีที่สื่อมวลชนได้เปิดเผยว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากการ “โฆษณารับสมัครงาน” บนเฟซบุ๊กเช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น กรณีที่มารดาของเหยื่อรายหนึ่งได้ติดต่อขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิกระจกเงา เพื่อให้ช่วยติดตามบุตรสาวที่ถูกบังคับให้ทำงานเป็นสแกมเมอร์

มารดาของเหยื่อเล่าว่า เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บุตรสาวได้โทรศัพท์มาแจ้งว่า พบโฆษณารับสมัครงานแพ็คสินค้าที่จังหวัดสระแก้ว โดยเสนอรายได้สูงถึงเดือนละ 20,000 บาท พร้อมมีที่พักให้ แต่ท้ายที่สุดบุตรสาวก็ถูกล่อลวงและบังคับให้ไปทำงานเป็นสแกมเมอร์ที่ประเทศกัมพูชาเช่นเดียวกัน

เจ้าของแพลตฟอร์มได้ประโยชน์จากการหลอกลวง

จากสถานการณ์การหลอกลวงผู้คนให้เข้าสู่ขบวนการค้ามนุษย์ทั่วโลก โดยมี “เฟซบุ๊ก” เป็นช่องทางหลักในการหลอกล่อเหยื่อนั้น ส่งผลให้บริษัท Meta ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก ถูกตั้งคำถามอย่างหนักว่า บริษัทกำลังได้รับผลประโยชน์จากแก๊งสแกมเมอร์เหล่านี้ด้วยหรือไม่

เฟซบุ๊กยังถูกใช้เป็นช่องทางในการหลอกลวงลักษณะอื่น ๆ ที่กลุ่มมิจฉาชีพใช้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากผู้คนทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นการหลอกขายสินค้าและบริการ การหลอกลวงเหยื่อเพื่อนำข้อมูลส่วนตัวไปใช้ในการก่ออาชญากรรม การสร้างเพจปลอมขึ้นเพื่อหลอกลวง ตลอดจนการเจาะระบบ (Hacking) บัญชีเฟซบุ๊กหรือเพจของผู้ใช้ที่สุจริต เพื่อนำไปใช้หลอกลวงผู้อื่นต่อ เป็นต้น

ประเด็นดังกล่าวถูกมองว่า Meta ย่อมได้รับประโยชน์จากขบวนการเหล่านี้อย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุด คือการที่แก๊งผิดกฎหมายเหล่านั้น ใช้วิธีการ “จ่ายเงินค่าโฆษณา” ให้กับ Meta หรือที่ปรากฏบนหน้าเฟซบุ๊กในรูปแบบ “ได้รับการสนับสนุน” (Sponsored) เพื่อให้โพสต์หลอกลวงของพวกเขาสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหรือเหยื่อได้กว้างขวางและง่ายดายยิ่งขึ้น

แฉ 10% ของรายได้ Meta มาจากโฆษณาหลอกผู้คน

ประเด็นดังกล่าวสอดคล้องกับบทความของเจฟฟ์ ฮอร์วิตซ์ (Jeff Horwitz) ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) ซึ่งระบุว่า ข้อมูลภายในของ Meta ได้คาดการณ์ว่ารายได้ประมาณร้อยละ 10 ของบริษัทในปี 2024 หรือจำนวน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ อาจมาจากโฆษณาหลอกลวงผู้คนทั่วโลก


บทความยังระบุด้วยว่า กลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ใช้แพลตฟอร์มของ Meta ในการแสดงโฆษณาหลอกลวงให้ผู้ใช้เห็นมากถึงวันละ 15,000 ล้านครั้ง แต่ดูเหมือนว่ามาตรการที่ Meta ใช้จัดการกับนักการตลาดที่ต้องสงสัยว่าฉ้อโกงเหล่านี้กลับเป็นการเรียกเก็บค่าโฆษณาใน “อัตราพิเศษ” ซึ่งสูงกว่าปกติ และมีการจัดทำรายงานภายในเกี่ยวกับ “นักต้มตุ๋นที่หลอกลวงที่สุด” (Scammiest Scammers) แทนที่จะเป็นการระงับบัญชีต้องสงสัยโดยทันทีให้แก่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Instagram และ WhatsApp หลายพันล้านคนทั่วโลก

ส่วน Meta ออกมาปฏิเสธข้อมูลดังกล่าว โดยระบุว่าตัวเลขการประเมินรายได้ที่มาจากกลุ่มมิจฉาชีพนั้นสูงเกินจริง แม้จะยอมรับว่าบริษัทอาจมีรายได้จากกลุ่มเหล่านี้อยู่บ้าง แต่ก็ปฏิเสธที่จะเปิดเผยตัวเลขที่แท้จริง โดย Meta ยืนยันว่า บริษัทได้ต่อสู้กับการฉ้อโกงและการหลอกลวงอย่างจริงจัง เนื่องจากทั้งผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์ม ผู้ลงโฆษณาที่ถูกต้องตามกฎหมาย และตัว Meta เอง ก็ไม่ต้องการเนื้อหาเหล่านี้ โดยบริษัทได้ชี้แจงว่า ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา บริษัทสามารถลดจำนวนรายงานโฆษณาหลอกลวงจากผู้ใช้ทั่วโลกได้ถึงร้อยละ 58 และในปี 2568 นี้ บริษัทได้ดำเนินการลบเนื้อหาโฆษณาหลอกลวงออกไปแล้วกว่า 134 ล้านชิ้น

Meta ช่วยประทับความน่าเชื่อถือให้ข้อความหลอกลวง

ประเด็นที่ Meta ได้รับผลประโยชน์จากเม็ดเงินโฆษณาของกลุ่มมิจฉาชีพ จึงไม่ใช่เรื่องที่เกินจริง ดังที่สะท้อนจากตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งเหยื่อจำนวนมากทั้งในไทยและทั่วโลกต่างหลงเชื่อข้อความหลอกลวงบนแพลตฟอร์มของ Meta ดังนั้น การเติบโตของขบวนการหลอกลวงเหล่านี้จึงอาจหมายถึงการเติบโตทางธุรกิจของ Meta เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้ข้อความ “ได้รับการสนับสนุน” ซึ่งข้อความนี้ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่บ่งชี้ว่าผู้ใช้งานได้จ่ายเงินเพื่อซื้อโฆษณากับ Meta เท่านั้น แต่ในมุมมองของผู้รับสารทั่วไป ข้อความ “ได้รับการสนับสนุน” อาจเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือโดยปริยาย เสมือนว่า Meta ได้ตรวจสอบและอนุมัติการโฆษณาดังกล่าวแล้ว

ด้วยลักษณะของการมีส่วนร่วมในการหลอกลวงโดยเฉพาะจากขบวนการค้ามนุษย์ของ Meta นั้น คำถามสำคัญคือ Meta นั้นมีความผิดด้วยหรือไม่ เราหันกลับมาดูนิยามของการค้ามนุษย์ว่าครอบคลุมพฤติการณ์ของ Meta มากน้อยเพียงใด

ช่องโหว่ของกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับภัยไซเบอร์ปัจจุบัน

ความหมายของการค้ามนุษย์ คือ การกระทำเพื่อจัดหา ขนส่ง ถ่ายโอน ให้ที่พักพิง หรือรับบุคคลอื่น โดยใช้กำลังบังคับ ฉ้อโกง หรือการขู่เข็ญ เพื่อจุดประสงค์ในการแสวงหาประโยชน์ การแสวงประโยชน์ดังกล่าวอาจรวมถึงการบังคับใช้แรงงาน การค้าประเวณี หรือการแสวงประโยชน์ทางเพศเชิงพาณิชย์รูปแบบอื่น ๆ การค้ามนุษย์ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง

หากพิจารณาจากพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 ก็ต้องยอมรับว่า ทั้งนิยามและความครอบคลุมของกฎหมายในบ้านเรานั้น อาจจะยังไม่สามารถดำเนินการใด ๆ กับ Meta ได้ในกรณีนี้ อันอาจมาจากกฎหมายที่ร่างขึ้นในช่วงนั้น ยังไม่มีการหลอกลวงในลักษณะนี้ จึงเป็นช่องว่างที่กฎหมายอาจจะตามไม่ทันกับภัยใหม่ ๆ ทางไซเบอร์

ด้วยปัจจุบันลักษณะการกระทำที่หลอกลวงผู้คนให้เข้าสู่กระบวนการค้ามนุษย์นั้นเกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มโซเซียลมีเดียด้วย ทำให้สำนักยาเสพติดและอาชญากรรม องค์การสหประชาชาติ (UNODC) ได้ออก ข้อบ่งชี้การค้ามนุษย์เพื่อบังคับให้กระทำความผิดอาชญากรรมทางไซเบอร์ ให้ทันสมัยขึ้น โดยระบุว่า “การพบเห็นประกาศสมัครงานหรือการสื่อสารผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Meta (Facebook), TikTok, WeChat, WhatsApp, Telegram, Instagram, LinkedIn, Line, Messenger รวมถึงแพลตฟอร์มส่งข้อความโต้ตอบแบบทันทีอื่น ๆ” เป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการจัดหาเหยื่อเพื่อเข้าสู่ขบวนการค้ามนุษย์

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าขั้นตอนการจัดหาเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ในปัจจุบันได้เปลี่ยนรูปแบบไปมาก โดยไม่จำเป็นต้องมีการพบปะกันโดยตรงอีกต่อไป เพียงแค่สามารถสร้างข้อความหลอกลวงบนโซเชียลมีเดียและ “ซื้อโฆษณา” จากแพลตฟอร์มโซเซียลมีเดีย ก็สามารถหลอกลวงเหยื่อได้เป็นจำนวนมาก

ออกกฎหมายเฉพาะเพื่อกำกับแพลตฟอร์มโซเซียลมีเดีย

ประเด็นนี้จึงนำไปสู่คำถามสำคัญว่า ในเมื่อประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทย ขาดอำนาจต่อรองโดยตรงกับบริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติเหล่านี้ เป็นไปได้หรือไม่ที่ประเทศไทยอาจจำเป็นต้องนำกฎหมายที่มีอยู่มาพิจารณาปรับปรุงให้ครอบคลุมถึง “การมีส่วนร่วม” หรือ “ความรับผิดชอบ” ต่อการกระทำผิดของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียด้วย หรืออีกแนวทางหนึ่งก็คือการออกระเบียบใหม่เป็นการเฉพาะ เพื่อกำหนดให้บริษัทโซเชียลมีเดียที่เข้ามาให้บริการแก่คนในประเทศ จำเป็นต้องมีมาตรการที่รัดกุมและสอดคล้องกับปัญหาเฉพาะที่เกิดขึ้นในบริบทของประเทศไทย หากพบว่าบริษัทดังกล่าวขาดมาตรการที่รัดกุม ทันถ่วงที และได้รับประโยชน์จากขบวนการดังกล่าวก็จำเป็นจะต้องมีความผิดเช่นกัน

การออกกฎหมายที่เป็นการเฉพาะของประเทศนั้น ๆ เพื่อบังคับต่อ Meta หรือบริษัทโซเซียลมีเดียข้ามชาตินั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีหลายกรณีที่มีการดำเนินการลักษณะนี้ เช่น ในสหราชอาณาจักรมีกฎหมายที่เรียกว่า Online Safety Act 2023 โดยมีการกำหนดหน้าที่ในการดูแล คือ แพลตฟอร์มมีหน้าที่ตามกฎหมายในการปกป้องผู้ใช้งาน โดยเฉพาะเด็ก จากเนื้อหาที่เป็นอันตราย จัดการโฆษณาหลอกลวง (Fraudulent Advertising ซึ่งบังคับให้แพลตฟอร์มต้องใช้มาตรการเชิงรุกในการป้องกันและลบโฆษณาหลอกลวงออกจากแพลตฟอร์มตนเอง และหน่วยงานกำกับดูแล (Ofcom) สามารถสั่งปรับแพลตฟอร์มดังกล่าวได้ด้วย

ส่วนในเยอรมนีเองก็มีกฎหมายเฉพาะของตนเองเพื่อใช้กำกับแพลตฟอร์มออนไลน์ดังกล่าวที่เรียกว่า กฎหมายการบังคับใช้เครือข่าย (Network Enforcement Act: NetzDG) ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่ออกกฎหมายเข้มงวดเพื่อจัดการเนื้อหาบนโซเชียลมีเดียโดยเฉพาะ โดยบังคับให้กำหนดเวลาลบเนื้อหา (Strict Takedown Times) ที่ “ผิดกฎหมายอย่างชัดแจ้ง” เช่น Hate Speech ภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากได้รับแจ้ง แพลตฟอร์มต้องมีระบบการรายงานเนื้อหาที่ชัดเจนและเข้าถึงง่ายสำหรับผู้ใช้ในเยอรมนี หากลบเนื้อหาผิดกฎหมายล่าช้าหรือไม่ครบถ้วนซ้ำ ๆ อาจถูกปรับสูงถึง 50 ล้านยูโร

ต้องเปลี่ยนผู้ให้บริการเป็นผู้มีส่วนร่วมรับผิดชอบ

จากตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ นั้นสามารถออกกฎหมายเฉพาะเพื่อเปลี่ยนสถานะของแพลตฟอร์มจาก “ผู้ให้บริการ” ที่ไม่ต้องรับผิดชอบให้กลายเป็น “ผู้มีส่วนรับผิดชอบ” (Accountable) ต่อเนื้อหาและการโฆษณาที่ปรากฏบนพื้นที่ของตนได้

ดังนั้น จึงเป็นคำถามสำคัญว่า ถึงเวลาหรือยังที่ประเทศไทยจะพิจารณาให้มีกฎหมายในลักษณะดังกล่าวเช่นเดียวกับประเทศอื่น เพื่อไม่ให้กลุ่มมิจฉาชีพใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหลอกคนไทยให้ตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ โดยที่แพลตฟอร์มดังกล่าวไม่ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบอะไรเลย แต่กลับได้ประโยชน์จากขบวนการนั้นเสียเอง และรัฐเองไม่สามารถดำเนินการใด ๆ เพื่อปกป้องคนในประเทศได้ทันท่วงที

รายการอ้างอิง
1) https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/259369
2) https://www.facebook.com/watch/?v=3234994416675761
3) https://www.reuters.com/investigations/meta-is-earning-fortune-deluge-fraudulent-ads-documents-show-2025-11-06/
4) https://www.unodc.org/roseap/uploads/documents/Publications/2025/TIP/TIP_for_FC_indicators_THAI_FINAL.pdf

Rate this post
แชร์บทความ
Scroll to Top